วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2558

9 วิธี ทําดี ทำง่ายๆ เริ่มจากตัวเรา



(ภาพจาก https://nanapolecon.files.wordpress.com/2011/08/ktmhtn_3002.jpg)


1.ตื่นเช้าขึ้นมาก็คิดแต่สิ่งดีๆ 
          ทันทีที่ตื่นนอน หากเราคิดถึงแต่สิ่งที่ดีที่งาม ก็จะทําให้จิตใจเราสดชื่น กระตือรือร้น พร้อมที่จะรับมือกับชีวิตประจําวันด้วยความรื่นเริง ไม่หงุดหงิดโมโห แค่นี้ นอกจากเราจะมีความสุขแล้ว คนรอบข้างเราก็มีความสุขไปด้วยถือว่าเป็นการทําบุญอย่างหนึ่ง

 2.ยิ้มแย้มแจ่มใส
          ในแต่ละวัน หากเราจะรู้จักยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ว่าจะยิ้มกับคนรู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม หน้าตาของเราก็จะดูเป็นมิตร ทําให้คนอยากเข้าใกล้ ถ้าเราเป็นพ่อแม่ยิ้มกับลูกก่อนไปทํางาน ลูกก็ดีใจ ลูกยิ้มกับพ่อพ่อแม่ พ่อแม่ก็สบายใจว่าต่างคนต่างไม่มีเรื่อง เดือดร้อนใจแน่ หรือหากมีก็กล้าจะมาปรึกษาหารือ หรือหากเป็นเจ้านาย ยิ้มกับลูกน้องๆ ก็รู้ว่าวันนี้นายอารมณ์ดี ทําให้ทํางานด้วยความมั่นใจไม่ต้องระแวงว่าจะถูก เรียกไปต่อว่าและถ้าเรียกก็ดูน่าจะมีเมตตา กว่าเวลาที่นายทําหน้ายักษ์

3.ทักทาย โอปราศรัย
          คนบางคน นอกจากจะไม่ยิ้มกับใครแล้ว ยังชอบทําหน้าบึ้งตึงไม่คิดจะพูดจาทักทายใครด้วย ซึ่งถ้าเกิดทํางานด้านบริการ คนมาติดต่อคงรู้สึกเกร็งและกังวลตลอดว่าจะถูกเอ็ดตะโรเมื่อไรก็ไม่รู้ ดังนั้น นอกจากยิ้มแย้มแจ่มใสแล้ว เราก็ควรจะเอื้อนเอ่ยวาจาทักทายผู้มารับบริการก่อน การทักทายปราศรัยกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นผู้มาขอรับบริการเพื่อนฝูงคนรู้จัก ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาหรือแม่แต่คนที่มาทํางานให้เรา เช่น แม่บ้าน ยาม ฯลฯ จะทําให้เขารู้สึกเป็นมิตร และอบอุ่นใจ ทําให้บรรยากาศในที่นั้นๆ ดีขึ้น

4.แบ่งปันน้ำใจไมตรี
          สามารถทําได้ทุกที่และทุกเวลา เช่น ช่วยพ่อแม่จัดโต๊ะอาหารล้างถ้วยชาม ลุกให้เด็ก ผู้หญิงท้อง หรือคนแก่นั่งช่วยถือของหนักให้คนในรถเมล์ หยุดรถให้คนข้ามถนน หรือรถอื่นไปก่อน ช่วยแบ่งเบาภาระงาน ให้เพื่อนในที่ทํางาน เป็นต้น การให้ความช่วยเหลือเช่นนี้ เป็นการทําบุญด้วยการลดความเห็นแก่ตัวของเราลงและทําให้เราได้รับมิตรไมตรีสนองตอบกลับมาด้วย

5.ปลุกปลอบให้กําลังใจ
          ช่วยแก้ไขปัญหา หลายๆครั้งที่เพื่อนฝูงญาติมิตรอาจประสบปัญหาชีวิต และเกิดความทุกข์ใจแสนสาหัส สิ่งที่ดีที่สุดคือความเป็นมิตรและถ้อยคําที่ปลุกปลอบให้กําลังใจ คําพูดดีๆ ที่มาจากใจจะทําให้ผู้ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์ รู้สึกดีขึ้นและมีพลังที่ต่อสู้ชีวิตต่อไปได้

6.ให้คําชมด้วยความนิยมยินดี
          การกล่าวคําชื่นชมต่อผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ ย่อมจะทําให้ผู้รับคําชมรู้สึกปลาบปลื้มยินดี และมีความสุขได้ โดยเฉพาะในเรื่องที่เขาทําสําเร็จ แต่ทั้งนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงและจริงใจด้วยดูอย่างตัวเราเองแค่วันไหน แต่งตัวสวย แล้วมีคนชม เราก็หน้าบานไปทั้งวันแล้ว เช่นเดียวกันคนทุกคนล้วนอยากได้การยอมรับและคําชมทั้งนั้น เพราะคําชมจะเป็นการเสริมเพิ่มกําลังใจให้ อยากทําดียิ่งๆ ขึ้นไป

7.แนะนําให้คําสอนที่ดี มีคุณค่า
          ไม่ว่าจะเราจะอยู่ในสถานภาพใด เช่น เป็นลูก เป็นพ่อแม่ลูกน้อง เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมอาชีพ ฯลฯ หากเราจะมีเมตตา แนะนําในสิ่งที่ดี มีประโยชน์และคุณค่าต่อผู้อื่นหรือสอนในสิ่งที่เราชํานาญให้แก่ผู้อื่น ก็จะเป็นการช่วยเกื้อกูลสังคมให้ดียิ่งขึ้น และผลก็จะย้อนมาสู่ตัวเราผู้ทําด้วย เช่น สอนงานให้ลูกน้องต่อไป เมื่อเขาทํางานเป็น เราก็ไม่ต้องเหนื่อยมาก และเขาก็จะรู้สึกขอบคุณเรา แนะวิธีออกกําลังกายให้พ่อแม่ ท่านก็แข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยง่าย เราก็สบายใจ หรือแม้แต่การแนะนําให้ความรู้ที่เรามี หรือทราบมาแก่คนไม่รู้จัก อย่างแนะนําหมอ ยาดีๆ   หรือธรรมะที่ดีแก่คนอื่น ทําให้เขาหายป่วยหรือรู้สึกดีขึ้น เขาก็จะอธิษฐานหรือให้พรเราทําให้เราพบแต่สิ่งดีๆ ในชีวิต

8.การให้อภัยในความผิดพลาดของผู้อื่น
          โดยทั่วไปคนเรามักจะให้อภัยตัวเองง่ายและมีข้อแก้ตัวให้ตนต่างๆ นานา แต่ถ้าผู้อื่นผิดพลาดแล้ว เรามักเห็นเป็นเรื่องใหญ่และตําหนิติเตียนไม่รู้จักแล้วจบ ดังนั้น เราจะต้องหัดมีเมตตารู้จักให้อภัยต่อผู้อื่นให้ง่าย เหมือนให้อภัยแก่ตัวเราเอง เพราะการให้อภัยจะทําให้เราไม่ผูกใจเจ็บ ไม่อาฆาตมาดร้าย ไม่ก่อศัตรู แต่ทําให้จิตใจเราสงบเย็นเป็นการฝึกจิตพื้นฐานอย่างหนึ่ง ที่จะนําไปสู่กุศลขั้นสูงอื่นๆ ต่อไป

9.ฝึกจิตให้สงบและสบาย
          ด้วยการทําสมาธิหรือสวดมนต์ การทําสมาธิ ฟังดูเหมือนยากแต่จริงๆ เราทําได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน หรือทําอะไรอยู่ เช่น กินข้าว  อาบน้ํา ทําการบ้าน ทํางานบ้าน อ่านหนังสือ อยู่ที่ทํางานหัวใจหลักคือให้เอาใจไปจดจ่อในสิ่งที่ทําเพียงอย่างเดียว จะทําให้เราทําทุกอย่างได้ดีขึ้นเพราะไม่พะวักพะวนคิดหรือทําหลายอย่างในเวลาเดียวกันอันทําให้ขาดสติและทุกๆ คืนก่อนนอน ก็ควรสวดมนต์ไหว้พระที่เรานับถือ โดยอาจเลือกบทสวดสั้นๆ ที่เราชอบ เสร็จแล้วก็อย่าลืมแผ่เมตตาให้กับตัวเราเอง และผู้อื่นตามสมควรที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าเป็นการทําความดีที่ไม่ต้องใช้เงินเลยแต่สามารถปฏิบัติในชีวิตประจําวันของเราได้ โดยไม่ยากเย็นเข็ญใจจนเกินไปอีกทั้งปฏิบัติแล้วก็เป็นบุญกุศลที่จะเกื้อหนุนให้เราและคนรอบตัวมีความสุข เพราะ’บุญ’ ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ เครื่องชําระกาย ใจให้บริสุทธิ์เป็นการทําประโยชน์ให้แก่ตัวเราเองและผู้อื่น และยังช่วยลดกิเลส ความเศร้าหมองต่างๆ ได้

ตัดข้อความจาก http://club.sanook.com/12994/9-วิธี-ทําดี-ทำง่ายๆ-เริ่ม/

วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2558

วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2558

การสร้างนิสัยแบบใหม่ด้วยแนวคิดเชิงบวก

เอกสารต้นฉบับ : https://www.facebook.com/notes/578145238884986/


        วงจรพฤติกรรมกล่าวไว้ว่า “ความคิดนำไปสู่การกระทำ” หากเราต้องการสร้างนิสัยแบบใดเราก็ต้องทำสิ่งนั้นซ้ำๆบ่อยๆ จนกลายเป็นธรรมชาติของเรา ดังนั้นการเปลี่ยนความคิดของเราเสียใหม่ ย่อมทำให้เราปฏิบัติตัวแบบใหม่ๆ เมื่อทำบ่อยๆ ก็จะกลายเป็นนิสัยใหม่ ของเรานั่นเอง เหตุการณ์ส่วนใหญ่ทำให้เราคิดลบ หากเราเปลี่ยนความคิดเชิงบวกต่อเหตุการณ์นั้นใหม่ เราก็จะมีอุปนิสัยที่ดีขึ้นแน่นอน

เปลี่ยนนิสัยใหม่ด้วยแนวคิดเชิงบวกกับเหตุการณ์ต่างๆ …
         - หลีกเลี่ยงการบ่น พูดในเรื่องที่สร้างสรรค์แทน
         - ลดเรื่องจินตนาการเชิงลบกับเหตุการณ์ต่างๆ
         - เลิกตัดสินผู้อื่น โดยใช้ความคิดของเราเพียงอย่างเดียว
         - เผชิญหน้ากับปัญหา เพื่อหาทางแก้ไข
         - เรียนรู้ที่จะปรับตัว เมื่อต้องอยู่ในที่อึดอัดใจ
         - เปลี่ยน “ข้อด้อย” ให้เป็นข้อเด่นของตัวเอง
         - มุ่งมั่น ไม่ท้อถอย แม้คิดว่าอาจทำไม่ได้ก็ตาม

        การปรับเปลี่ยนแนวความคิดให้เป็นเชิงบวก และปฏิบัติตัวโดยการฝึกฝนอยู่ เรื่องๆ อุปนิสัยใหม่จะเกิดขึ้นเอง

หลีกเลี่ยงการบ่น 
        หลายคนเข้าใจว่าการบ่นเป็นการระบาย เมื่อพูดจบแล้วก็จะรู้สึกดีขึ้น แต่จริงๆ แล้วเราดีขึ้นชั่วคราว แต่จะจำเรื่องนั้นๆ ไปเลยว่าเราไม่ชอบ หากมีเหตุการณ์คล้ายๆกัน เกิดขึ้นอีกเราก็จะรู้สึกไม่ดีขึ้นมาโดยอัตโนมัติ จึงเรียนกว่าเป็น นิสัย ดังนั้นหากต้องการพูดเรื่องอะไรก็ควรให้มี่ความสร้างสรรค์ คือพูดแต่เรื่องดีๆ เราก็จะจำได้แต่เรื่องดๆ นิสัยเราก็จะปฏิบัติตามที่เราคิดนั่นเอง

ลดเรื่องจินตนาการเชิงลบ
        การจินตนาการเป็นความคิดของเรา คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งยังไม่เกิดขึ้น หากเราคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เป็นเชิงลบ ย่อมทำให้เราเครียดและกังวลไปล่วงหน้า ทั้งๆที่จริงๆ แล้วเหตุการณ์เหล่านั้นอาจไม่เกิดขึ้น ก็ได้เพราะเป็นการคาดเดาของเราไปเอง แต่ถ้าเราจินตนาการเป็นเชิงบวกย่อมจูงใจให้เราลงมือปฏิบัติมากขึ้น เพราะเราคิดว่าถ้าทำแล้วจะเกิดผลดี และเป็นประโยชน์ ดังนั้นควรให้ความสำคัญ กับปัจจุบันให้มากที่สุด และถ้าคิดถึงอนาคต ก็ควรคิดว่าจะเกิดแต่สิ่งดีๆ

เลิกตัดสินผู้อื่น 
        เราชอบสรุปว่าคนนั้นเป็นอย่างนี้ ซึ่งเราไม่ชอบเลยจริงๆ แล้วที่เราไม่ชอบเป็นเพราะเราใช้มาตรฐานความคิดของเราเป็นหลักในการพิจารณาผู้อื่น ซึ่งอาจถูก หรืออาจผิดได้ ทำให้ความสัมพันธ์ของเรากับเขาไม่ค่อยดี ในทางที่ถูกแล้ว ควรพิจารณาทั้ง 2 ด้าน คือในแง่ที่เรคิดและในแง่ที่ถ้าเราเป็นเขาเราจะปฏิบัติหรือคิดอย่างไร ก็จะทำให้เราเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น การปฏิบัติตัวต่อคนอื่นก็จะดีขึ้น

เผชิญหน้ากับปัญหา 
        ปัญหามีไว้เพื่อให้แก้ไข มิใช่มีไว้ให้เกิดความเครียด ดังนั้นหากพบเจอกับปัญหา  และอุปสรรคต่างๆ ก็ให้พิจารณาทางแก้ไขจะดีกว่า เพราะถ้าเครียดและกังวลกับปัญหาแล้ว  เราย่อมหาทางออกได้ยากขึ้น แต่ถ้ายอมรับว่าเกิดปัญหาแล้ว จะแก้ไขอย่างไรดี เราก็จะจดจ่อกับ วิธีแก้ไขแทนที่จะจดจ่อที่ตัวปัญหา แนวโน้มก็จะมีวิธีแก้ไขได้แน่นอน

เรียนรู้ที่จะปรับตัว 
        ความอึดอัดใจเป็นความรู้สึกที่เราคิดว่า “เราไม่อยากอยู่กับสถานการณ์เช่นนี้” ซึ่งจริงๆ แล้ว ความคิดของเรานั้นเอง ที่คิดว่าเราไม่ชอบ ไม่มีประโยชน์ ไม่อยากเจอ อยากหนีไปให้ไกล ซึ่งถ้าเราจำเป็นต้องอยู่ในสถานการณ์นั้นอีกสักระยะหนึ่งเราก็ควรปรับตัวโดยการคิดว่า สถานการณ์ให้เราได้เรียนรู้เรื่องอะไรได้บ้าง มีประโยชนต่อเราอย่างไร เราเข้าใจผู้อื่นมากขึ้นแค่ไหนเมื่อเราสร้างความสนใจต่อเหตุการณ์เสียใหม่ ความอึดอัดใจก็จะลดไปเอง เพราะเริ่มมีเรื่องน่าสนใจสำหรับเราแล้ว

เปลี่ยน “จุดด้วย” ให้เป็นจุดเด่น 
        จุดด้อยหรือจุดเด่น อยู่ที่เราคิดว่าจะใช้ประโยชน์กับคุณสมบัตินั้นๆ ได้หรือไม่ ส่วนใหญ่แล้วจุดด้อยเป็ฯสิ่งที่ผู้อื่น พูดถึงเราว่าเป็นคุณสมบัติที่ไม่ดีและเราก็เห็นด้วย แต่ถ้าเราพยายามแก้ไขข้อด้อยนั้นๆ เพื่อหวังว่า ผู้อื่นจะได้รับการยอมรับเรานั้น เราจะไม่สามารถพัฒนาข้อด้อยนั้นได้นาน เพราะตัวเราเองไม่ถนัดและไม่ชอบ แต่ถ้าเราลองมองคุณสมบัติที่เราเป็นอยู่นั้น เกิดประโยชน์ในด้านใด เราก็นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์มากขึ้น คุณสมบัตินั้นก็จะถูกใช้ไปในทางที่เป็นประโยชน์ต่อเรา และเราก็ได้พัฒนาตัวเอง ทำให้เราสามารถเปลี่ยนข้อด้อยของเราเป็นข้อเด่นไปได้

มุ่งมั่น ไม่ท้อถอย 
        คนสำเร็จต่างกับคนทั่วๆไป ตรงที่ว่าเขาไม่เลิกก่อนเวลา ถึงแม้ว่าอาจดูว่าเป็นเรื่องยากก็ตาม คนส่วนใหญ่เกือบทำสำเร็จเพียงแค่อดทน หรือมุ่งมั่นไม่พอเท่านั้นเอง เป้าหมายต่างๆ นั้นไม่ยากเกินไปหากเรามุ่งมั่น และไม่ท้อถอย แม้ว่าความคิด ความรู้สึกจะบอกไปในทางว่าอาจเป็นไปไม่ได้ก็ตาม เนื่องจากความคิดเชิงลบย่อมเกิดขึ้นเมื่อเจออุปสรรค แต่ถ้าเราปฏิบัติต่อไป เราก็จะสำเร็จได้อย่างแน่นอน

        การปรับเปลี่ยนแนวความคิดของตัวเองเสียใหม่ โดยการปรับใช้กับสถานการณ์ต่างๆ เมื่อฝึกฝนมากขึ้น อุปนิสัยใหม่ๆ ที่เป็นข้อดีและเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเองก็จะเกิดขึ้น โดยที่เราไม่รู้ตัว แต่ผู้อื่นจะมองเห็นได้เอง และจะทำให้เรามีความสุขมากขึ้น บุคคลทั่วไปก็จะยอมรับเรามองขึ้น

วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2558

สอนลูกอย่างไร..ให้เป็นยอดคน

รายการเมืองไทยวาไรตี้ : สอนลูกอย่างไร..ให้เป็นยอดคน

รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม นะครับ ^_^

วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2558

รายการดูให้รู้ ตอน มัธยมปลาย เรียน รู้ สู่อนาคต


             รายการดีๆ ที่มุ่งเข้าใจการศึกษาของประเทศญี่ปุ่น ที่คุณครูสามารถนำไปปรับใช้กันในโรงเรียนหรือห้องเรียนของเราเองได้ มากบ้างน้อยบ้างไม่เป็นไร เฟืองเล็กเฟืองน้อยหมุนมากเข้า เฟืองใหญ่ก็จะหมุนเอง ^_^

รายการดูให้รู้ ตอน มัธยมต้น ค้นหาตัวเอง


        รายการดีๆ ที่คุณครูควรนำไปปรับใช้ เพราะความมุ่งหมายของชมรมเครือข่ายครูดี นนทบุรี เขต ๑ มุ่งมั่นเพื่อความก้าวหน้าของวิชาชีพครู ^_^

รายการดูให้รู้ ตอน โรงเรียนญี่ปุ่น (อนุบาล-ประถมศึกษา)


            รายการดีๆ ที่คุณครูสามารถนำไปปรับใช้ในชั้นเรียนของเราได้ ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องทำทั้งโรงเรียน แค่ทำในสิ่งที่เรารับผิดชอบก็พอ เพราะเป็นจรรยาบรรณต่อผู้รับบริการ ^_^

วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ที่มาของชมรมเครือข่ายครูดีนนทบุรี เขต ๑

ชมรมเครือข่ายครูดี

           การสร้างและขับเคลื่อนเครือข่ายครูดี เป็นวัตถุประสงค์หลักของการดำเนินงานตามโครงการเสริมสร้างศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา เพื่อให้มีเครือข่ายการพัฒนาด้านศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณของวิชาชีพ ในเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ จึงได้กำหนดเรื่องการสร้างเครือข่ายครูดีไว้ในแผนการพัฒนาตามหลักสูตรเสริมสร้างศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาตั้งแต่ปี ๒๕๕๓

           และในปี ๒๕๕๔ ได้กำหนดไว้ในแผนการตามหลักสูตรให้มีการจัดตั้งเครือข่ายครูดีในเขตพื้นที่การศึกษา โดยใช้ชื่อว่า “ชมรมเครือข่ายครูดีนนทบุรี เขต ๑” และให้ผู้เข้ารับการพัฒนาตามหลักสูตรจัดตั้งคณะกรรมการบริหารชมรมเครือข่ายครูดีประจำเขตพื้นที่การศึกษา โดยมีผู้อำนวยการคุรุสภาเขตพื้นที่การศึกษาเป็นที่ปรึกษาและให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมของชมรม



วัตถุประสงค์ของชมรมเครือข่ายครูดี

           ๑. เพื่อเป็นศูนย์รวบรวมครูที่มีความรู้ ความสามารถ และมีศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณของวิชาชีพ ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา
           ๒. เพื่อให้เป็นแกนนำในการสร้างความเข้าใจ ส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาประพฤติตนเป็นครูดี มีศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณของวิชาชีพ และขยายผลไปยังสถานศึกษาและชุมชน
           ๓. เพื่อเป็นแกนกลางในการประสานสัมพันธ์ระหว่างผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา คุรุสภา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อการพัฒนาด้านศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณของวิชาชีพ



บทบาทของชมรมเครือข่ายครูดีในแต่ละเขตพื้นที่การศึกษา

           ๑. การส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษา ให้ปฏิบัติตามศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณของวิชาชีพ ดังนี้
                      ๑.๑ การสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องการปฏิบัติตามศีลธรรม ประกอบด้วย ศีล ๕ ไตรสิกขา คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณของวิชาชีพทางการศึกษา
                      ๑.๒ การสร้างจิตสำนึกในการปฏิบัติตามศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณของวิชาชีพ
                      ๑.๓ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและมีพฤติกรรมเป็นแบบอย่างที่ดีด้านการปฏิบัติตามศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณของวิชาชีพ
                      ๑.๔ การเผยแพร่ศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณของวิชาชีพ
           ๒. การจัดกิจกรรมเพื่อให้การมีลักษณะเป็นครูดี ดังนี้
                      ๑) กิจกรรมศีลธรรม เพื่อให้มีเป้าหมายชีวิตถูกต้อง
                      ๒) กิจกรรมวิชาการ เพื่อให้มีนิสัยใฝ่รู้ - ใฝ่ดี
                      ๓) กิจกรรมสังคม เพื่อสร้างมิตรภาพเป็น
                      ๔) กิจกรรมดำรงชีวิต เพื่อให้มีนิสัยใฝ่รักษาสุขภาพ และพึ่งตนเองได้
                      ๕) กิจกรรมอาชีพ เพื่อให้ขยัน ฉลาด รู้ประมาณ
                      ๖) กิจกรรมนันทนาการ เพื่อการพักผ่อนเป็น
           ๓. การรวบรวมครูที่มีความรู้ ความสามารถ และมีคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณของวิชาชีพ ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาวิชาชีพ
           ๔. การสร้างสรรค์งานใหม่ ๆ เช่น จัดระบบในเรื่องต่าง ๆ อาทิ การติดต่อสื่อสาร ระหว่างครูเกี่ยวกับกระบวนการแก้ปัญหาและการทำงานที่เป็นลักษณะงานประจำ รวมทั้งการให้บริการแก่สังคมที่อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
           ๕. การเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด
           ๖. การส่งเสริมให้มีการจัดตั้งเครือข่ายครูดีในระดับอำเภอ/สถานศึกษา



การขับเคลื่อนชมรมเครือข่ายครูดีในแต่ละเขตพื้นที่การศึกษา

           ๑. มีการกำหนดโครงสร้างและการบริหารจัดการที่ชัดเจน
           ๒. มีระเบียบ/ข้อปฏิบัติหรือข้อตกลงร่วมกันในการเข้าเป็นสมาชิกเครือข่าย หรือมีบทลงโทษสมาชิกที่ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของเครือข่ายที่วางไว้ รวมทั้งการกระจายอำนาจให้สมาชิกมีส่วนร่วมและตรวจสอบในด้านต่าง ๆ
           ๓. มีการจัดกิจกรรมสำหรับสมาชิกเป็นระยะ ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และหาแนวทางดำเนินงานตามวัตถุประสงค์และเป้าหมาย
           ๔. มีการติดต่อประสานงาน สร้างความสัมพันธ์เชื่อมโยงและสื่อสารกับสมาชิกอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง
           ๕. มีการประสานงานกับเครือข่ายและหน่วยงานอื่นเพื่อสนับสนุนการจัดกิจกรรมของชมรมเครือข่ายครูดี




อ้างอิง http://news.ksp.or.th/jariyatum/