วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2558

วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

หนังสั้น เดือน...เพ็ญ




 หนังสั้นดีๆที่แอดมินอยากให้ทั้งครู ผู้ปกครอง และนักเรียนได้ชมกันครับ
https://www.facebook.com/100007678688201/videos/1638903073042300/

Posted by ขอสิทธิ์ แค่ คิดฮอด on 30 ตุลาคม 2015

วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ความหมายของธงกฐิน ทั้ง ๔ ปริศนาธรรมของคนโบราณ

     แอดมินอ่านเจอในเฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1513722482282016&set=a.1419778285009770.1073741830.100009328362977&type=3&theater เห็นว่าเป็นประโยชน์ จึงนำมาบอกต่อครับ ^_^


ความหมายของธงกฐิน ทั้ง ๔ ปริศนาธรรมของคนโบราณ 
  • ธงรูปจระเข้คาบดอกบัว หมายถึง อย่ามีความโลภเหมือนจระเข้ (เพราะจระเข้มีปากที่ใหญ่กินไม่อิ่ม ) 
  • ธงรูปนางกินรีหรือนางมัจฉาถือดอกบัว หมายถึง อย่ามีความหลง (เสน่ห์แห่งความงามที่ชวนหลงใหล) 
  • ธงรูปตะขาบคาบดอกบัว หมายถึง อย่าโกรธเหมือนตะขาบ (เพราะตะขาบเป็นสัตว์มีพิษร้าย) เหมือนความโกรธที่แผดเผาจิตใจ
  • ธงรูปเต่าคาบดอกบัว หมายถึง จงมีสติเหมือนเต่า (คือการสำรวมระวังรักษาอายตนะทั้ง ๖ ดุจเต่าที่หดอวัยวะอยู่ในกระดอง) 
     ในปัจจุบันส่วนใหญ่เรามักจะเห็นเพียงธงจระเข้คาบดอกบัว และ ธงมัจฉาถือดอกบัว เท่านั้น ส่วนธงตะขาบคาบดอกบัวและ เต่าคาบดอกบัว พบเห็นได้น้อยมากจะมีก็แต่บางวัดเท่านั้นที่ยังคงรักษาธรรมเนียมเก่าไว้

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เรื่องเล่าแอดมิน

ช่วงที่ผ่านมาแอดมินลองไปสอบครูผู้ช่วยมาครับ ผลสอบปรากฏว่าได้ขึ้นบัญชีครับ (แอบดีใจ) คำถามที่สำคัญเกี่ยวกับความรู้ความสามารถทั่วไปของวิชาชีพ คือคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ ทำให้แอดมินต้องกลับมาทบทวนว่า หนังสือที่แอดมินได้จากการอบรมคุณธรรมน่าจะมีประโยชน์ต่อครูทั้งหลายในการขยายความและช่วยให้ครูเห็นพฤติกรรมที่ชัดเจนได้ดีขึ้น แอดมินกำลังเตรียมเนื้อหาอยู่ พบกันเร็วๆนี้ครับ ^_^

วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2558

จรรยาบรรณห้ามลืม

1. ครูต้องรักและเมตตาศิษย์ โดยให้ความเอาใจใส่ช่วยเหลือส่งเสริมให้กำลังใจในการศึกษาเล่าเรียนแก่ศิษย์โดยเสมอหน้า
  • สร้างความรู้สึกเป็นมิตร เป็นที่พึ่งพาและไว้วางใจได้ของศิษย์แต่ละคนและทุกคน 
    ตัวอย่างเช่น
     ให้ความเป็นกันเองกับศิษย์, รับฟังปัญหาของศิษย์และให้ความช่วยเหลือศิษย์, ร่วมทำกิจกรรมกับศิษย์เป็นครั้งคราวตามความเหมาะสม, สนทนาไต่ถามทุกข์สุขของศิษย์ ฯลฯ
  • ตอบสนองข้อเสนอและการกระทำของศิษย์บนทางสร้างสรรค์ ตามสภาพปัญหาความต้องการและศักยภาพของศิษย์แต่ละคนและทุกคน 
    ตัวอย่างเช่น
     สนใจคำถามและคำตอบของศิษย์ทุกคน, ให้โอกาสศิษย์แต่ละคนได้แสดงออกตามความสามารถ ความถนัด และความสนใจ, ช่วยแก้ไขข้อบกพร่องของศิษย์, รับการนัดหมายของศิษย์เกี่ยวกับการเรียนรู้ก่อนงานอื่น ฯลฯ
  • เสนอและแนะแนวทางการพัฒนาของศิษย์แต่ละคนและทุกคนตามความถนัด ความสนใจ และศักยภาพของศิษย์ 
    ตัวอย่างเช่น
     มอบหมายงานตามความถนัด, จัดกิจกรรมหลากหลายตามสภาพความแตกต่างของศิษย์เพื่อให้แต่ละคนประสบความสำเร็จเป็นระยะๆอยู่เสมอ,แนะแนวทางที่ถูกให้แก่ศิษย์,   ปรึกษาหารือกับครู ผู้ปกครอง เพื่อนนักเรียน เพื่อหาสาเหตุและวิธีแก้ปัญหาของศิษย์ ฯลฯ
  • แสดงผลงานที่ภูมิใจของศิษย์แต่ละคน และทุกคนทั้งในและนอกสถานศึกษา 
    ตัวอย่างเช่น
     ตรวจผลงานของศิษย์ย่างสม่ำเสมอ, แสดงผลงานของศิษย์ในห้องเรียน (ห้องปฏิบัติการ), ประกาศหรือเผยแพร่ผลงานของศิษย์ประสบความสำเร็จ ฯลฯ
2. ครูต้องอบรม สั่งสอน ฝึกฝน สร้างเสริมความรู้ ทักษะและนิสัย ที่ถูกต้องดีงาม ให้เกิดแก่ศิษย์ อย่างเต็มความสามารถด้วยความบริสุทธิ์ใจ
  • อบรม สั่งสอน ฝึกฝนและจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาศิษย์ย่างมุ่งมั่นและตั้งใจ
    ตัวอย่างเช่น สอนเต็มเวลา ไม่เบียดบังเวลาของศิษย์ไปหาผลประโยชน์ส่วนตน, เอาใจใส่ อบรม สั่งสอนศิษย์จนเกิดทักษะในการปฏิบัติงาน, อุทิศเวลาเพื่อพัฒนาศิษย์ตามความจำเป็นและเมหาะสมไม่ละทิ้งชั้นเรียนหรือขาดการสอน  ฯลฯ
  • อบรม สั่งสอน ฝึกฝนและจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาศิษย์ย่างเต็มศักยภาพ
    ตัวอย่างเช่น เลือกใช้วิธีการที่หลากหลายในการสอนให้เหมาะสมกับสภาพของศิษย์, ให้ความรู้โดยไม่ปิดบัง, สอนเต็มความสามารถ, เปิดโอกาสให้ศิษย์ได้ฝึกปฏิบัติอย่างเต็มความสามารถ, สอนเต็มความสามารถและด้วยความเต็มใจ, กำหนดเป้าหมายที่ท้าทาย พัฒนาขึ้น, ลงมือจัด เลือกกิจกรรมที่นำสู่ผลจริง, ประเมิน ปรับปรุง ให้ได้ผลจริง, ภูมิใจเมื่อศิษย์ได้พัฒนา ฯลฯ
  • อบรม สั่งสอน ฝึกฝนและจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาศิษย์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ
    ตัวอย่างเช่น สั่งสอนศิษย์โดยไม่บิดเบือนหรือปิดบัง อำพราง, อบรมสั่งสอนศิษย์โดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง, มอบหมายงานและตราวจผลงานด้วยความยุติธรรม ฯลฯ
3. ครูต้องประพฤติ ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ทั้งทางกาย วาจา และจิตใจ
  • ตระหนักว่าพฤติกรรมการแสดงออกของครูมีผลต่อการพัฒนาพฤติกรรมของศิษย์อยู่เสมอ
    ตัวอย่างเช่น ระมัดระวังในการกระทำ และการพูดของตนเองอยู่เสมอ, ไม่โกรธง่ายหรือแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวต่อหน้าศิษย์ มองโลกในแง่ดี ฯลฯ
  • พูดจาสุภาพและสร้างสรรค์โดยคำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้นกับศิษย์ละสังคม
    ตัวอย่างเช่น ไม่พูดคำหยาบหรือก้าวร้าว, ไม่นินทาหรือพูดจาส่อเสียด, พูดชมเชยให้กำลังใจศิษยด้วยความจริงใจ ฯลฯ
  • กระทำตนเป็นแบบอย่างที่ดี สอดคล้องกับคำสอนของตน และวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม
    ตัวอย่างเช่น ปฏิบัติตนให้มีสุขภาพ และบุคลิกภาพที่ดีอยู่เสมอ, แต่งกายสะอาดสุภาพเรียบร้อยเหมาะสมกับกาลเทศะ, แสดงกริยามารยาทสุภาพเรียบร้อยอยู่เสมอ, ตรงต่อเวลา, แสดงออกซึ่งนิสัยที่ดีในการประหยัด ซื่อสัตย์อดทน สามัคคี มีวินัย  รักษาสาธารณสมบัติและสิ่งแวดล้อม ฯลฯ
4. ครูต้องไม่กระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทางกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์และสังคมของศิษย์
  • ละเว้นการกระทำที่ทำให้ศิษย์เกิดความกระทบกระเทือนต่อจิตใจ สติปัญญา อารมณ์และสังคมของศิษย์
    ตัวอย่างเช่น ไม่นำปมด้อยของศิษย์มาล้อเลียน, ไม่ประจานศิษย์, ไม่พูดจาหรือกระทำการใดที่เป็นการซ้ำเติมปัญหาหรือข้อบกพร่องของศิษย์, ไม่นำความเครียดมาระบายต่อศิษย์, ไม่ว่าจะด้วยคำพูด หรือสีหน้า ท่าทาง, ไม่เปรียบเทียบฐานะความเป็นอยู่ของศิษย, ไม่ลงโทษศิษย์เกินกว่าเหตุ ฯลฯ
  • ละเว้นการกระทำที่เป็นอันตราต่อสุขภาพและร่างกายของศิษย์
    ตัวอย่างเช่น ไม่ทำร้ายร่างกายศิษย์, ไม่ลงโทษศิษย์เกินกว่าระเบียบกำหนด, ไม่จัดหรือปล่อยปละละเลยให้สภาพแวดล้อมเป็นอันตรายต่อศิษย์, ไม่ใช่ศิษย์ทำงานเกินกำลังความสามารถ ฯลฯ
  • ละเว้นการกระทำที่สกัดกั้นพัฒนาการทางสติปัญญา อารมณ์ จิตใจ และสังคมของศิษย์
    ตัวอย่างเช่น ไม่ตัดสินคำตอบถูกผิดโดยยึดคำตอบของครู, ไม่ดุด่าซ้ำเติมศิษย์ที่เรียนช้า, ไม่ขัดขวางโอกาศให้ศิษย์ได้แสดงออกทางสร้างสรรค์, ไม่ตั้งฉายาในทางลบให้แก่ศิษย์ ฯลฯ
5. ครูต้องไม่แสวงหาประโยชน์อันเป็นอามิสสินจ้างจากศิษย์ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ และไม่ใช้ให้ศิษย์กระทำการใด ๆ อันเป็นการหาผลประโยชน์  ให้แก่ตนโดยมิชอบ
  • ไม่รับหรือแสวงหาอามิสสินจ้างหรือผลประโยชน์อันมิควรจากศิษย์ตัวอย่างเช่น ไม่หารายได้จากการนำสินค้ามาขายให้ศิษย์, ไม่ตัดสินผลงานหรือผลการเรียน โดยมีสิ่งแลกเปลี่ยน, ไม่บังคับหรือสร้างเงื่อนไขให้ศิษย์มาเรียนพิเศษเพื่อหารายได้ ฯลฯ
  • ไม่ใช้ศิษย์เป็นเครื่องมือหาประโยชน์ให้กับตนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ขนบธรรมเนียมประเพณีหรือความรู้สึกของสังคม
    ตัวอย่างเช่น ไม่นำผลงานของศิษย์ไปแสวงหากำไรส่วนตน, ไม่ใช้แรงงานศิษย์เพื่อประโยชน์ส่วนตน, ไม่ใช้หรือจ้างวานศิษย์ไปทำสิ่งผิดกฏหมาย ฯลฯ
6. ครูย่อมพัฒนาตนเองทั้งทางด้านวิชาชีพ ด้านบุคลิกภาพและวิสัยทัศน์ให้ทันต่อการพัฒนาทาง วิทยาการ เศรษฐกิจสังคมและการเมืองอยู่เสมอ 
  • ใส่ใจศึกษาค้นคว้า ริเริ่มสร้างสรรค์ความรู้ใหม่ที่เกี่ยวกับวิชาชีพอยู่เสมอ
    ตัวอย่างเช่น หาความรู้จากเอกสาร ตำรา และสื่อต่างๆอยู่เสมอ, จัดทำและเผยแพร่ความรู้ผ่านสื่อต่างๆ ตามโอกาส, เข้าร่วมประชุม อบรม สัมมนา หรือฟังการบรรยาย หรืออภิปรายทางวิชาการ ฯลฯ
  • มีความรอบรู้ทันสมัย ทันเหตุการณ์ สามารถนำมาวิเคราะห์ กำหนดเป้าหมาย แนวทางพัฒนาตนเองและวิชาชีพ ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การอาชีพ และเทคโนโลยี
    ตัวอย่างเช่น นำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ประกอบการเรียนการสอน, ติดตามข่าวสารเหตุการณ์บ้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม การเมืองอยู่เสมอ, วางแผนพัฒนาตนเองและพัฒนางาน ฯลฯ
  • แสดงออกทางร่างกาย กริยา วาจา อย่างสง่างาม เหมาะสมกับกาลเทศะตัวอย่างเช่น รักษาสุขภาพและปรับปรุงบุคลิกภาพอยู่เสมอ, มีความเชื่อมั่นในตนเอง, แต่งกายสะอาดเหมาะสมกับกาลเทศะและทันสมัยมีความกระตือรือร้น ไวต่อความรู้สึกของสังคม ฯลฯ
7. ครูย่อมรักและศรัทธาในวิชาชีพครูและเป็นสมาชิกที่ดีต่อองค์กรวิชาชีพครู
  • เชื่อมั่น ชื่นชม ภูมิใจในความเป็นครูและองค์กรวิชาชีพครู ว่ามีความสำคัญและจำเป็นต่อสังคม
    ตัวอย่างเช่น ชื่นชมในเกียรติและรางวัลที่ได้รับและรักษาไว้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย, ยกย่องชมเชยเพื่อนครูที่ประสบผลสำเร็จเกี่ยวกับการสอน, เผยแพร่ผลสำเร็จของตนเองและเพื่อนครู, แสดงตนว่าเป็นครูอย่างภาคภูมิ ฯลฯ
  • เป็นสมาชิกองค์กรวิชาชีพครูและสนับสนุนหรือเข้าร่วมหรือเป็นผู้นำในกิจกรรมพัฒนาวิชาชีพครู
    ตัวอย่างเช่น ปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อกำหนดขององค์กร, ร่วมกิจกรรมที่องค์กรจัดขึ้น, เป็นกรรมการหรือคณะทำงานขององค์กร ฯลฯ
  • ปกป้องเกียรติภูมิของครูและองค์กรวิชาชีพ
    ตัวอย่างเช่น เผยแพร่ประชมสัมพันธ์ผลงานของครูและองค์กรวิชาชีพครู, เมื่อมีผู้เข้าใจผิดเกี่ยวกับวงการวิชาชีพครูก็ชี้แจงทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ฯลฯ
8. ครูพึงช่วยเหลือเกื้อกูลครูและชุมชนในทางสร้างสรรค์
  • ให้ความร่วมมือแนะนำ ปรึกษาแก่เพื่อนครูตามโอกาสและความเหมาะสม
    ตัวอย่างเช่น ให้คำปรึกษาการจัดทำผลงานทางวิชาการ, ให้คำแนะนำการผลิตสื่อการเรียนการสอน ฯลฯ
  • ให้ความช่วยเหลือด้านทุนทรัพย์ สิ่งของแด่เพื่อนครูตามโอกาสและความเหมาะสม
    ตัวอย่างเช่น ร่วมงานกุศล, ช่วยทรัพย์เมื่อเพื่อนครูเดือนร้อน, จัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ฯลฯ
  • เข้าร่วมกิจกรรมของชุมชนรวมทั้งให้คำปรึกษาแนะนำแนวทางวิธีการปฏิบัติตน ปฏิบัติงานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน
    ตัวอย่างเช่น แนะแนวทางการป้องกัน และกำจัดมลพิษ, ร่วมกิจกรรมตามประเพณีของชุมชน ฯลฯ
9. ครูพึงประพฤติ ปฏิบัติตน เป็นผู้นำในการอนุรักษ์ และพัฒนาภูมิปัญญา และวัฒนธรรมไทย
  • รวบรวมข้อมูลและเลือกสรรภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรมที่เหมาะสมมาใช้จัดกิจกรรมการเรียนการสอน
    ตัวอย่างเช่น เชิญบุคคลในท้องถิ่นมาเป็นวิทยากร, นำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้จัดการเรียนการสอน, นำศิษย์ไปศึกษาในแหล่งวิทยาการชุมชน ฯลฯ
  • เป็นผู้นำในการวางแผน และดำเนินการเพื่ออนุรักษ์และพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรม
    ตัวอย่างเช่น ฝึกการละเล่นท้องถิ่นให้แก่ศิษย์, จัดตั้งชมรม สนใจศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น, จัดทำพิพิธภัณฑ์ในสถานศึกษา ฯลฯ
  • สนับสนุนส่งเสริมเผยแพร่และร่วมกิจกรรมทางประเพณีวัฒนธรรมของชุมชนอย่างสม่ำเสมอ
    ตัวอย่างเช่น รณรงค์การใช้สินค้าพื้นเมือง, เผยแพร่การแสดงศิลปะพื้นบ้าน, ร่วมงานประเพณีของท้องถิ่น ฯลฯ
  • ศึกษาวิเคราะห์ วิจัยภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่นเพื่อนำผลมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
    ตัวอย่างเช่น ศึกษาวิเคราะห์เกี่ยวกับการละเล่นพื้นบ้าน นิทานพื้นบ้าน เพลงกล่อมเด็ก ตำนานและความเชื่อถือ, นำผลการศึกษาวิเคราะห์มาใช้ในการเรียนการสอน ฯลฯ

ที่มา: สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา, แบบแผนพฤติกรรมตามจรรยาบรรณครู พ.ศ. 2539. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, 2541
ข้อมูลเพิ่มเติเข้าไปดูได้ที่ : http://www.edu.chula.ac.th/knowledge/rule/rule2539.htm


วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2558

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2558

มีขึ้นอย่าหลง มีลงอย่าท้อ

       โน๊ตบุคแอดมินตกพื้น เสียไปเรียบร้อย วันนี้มาลองเครื่องใหม่ ด้วยโพสนี้กันครับ เป็นหลักคิด แบบวัยรุ่นหน่อยๆ เกี่ยวกับการใช้ชีวิตที่แอดมินคิดว่าเป็นประโยชน์ สำหรับการใช้ชีวิตของคนเรา ส่วนรูปประกอบนี้ แอดมินถ่ายเองตอนอยู่เวรกลางคืนที่โรงเรียนครับ ^_^


หลักคิดเพื่อความอยู่รอดในสังคม (หลักธรรม คือ อ่อนน้อมถ่อมตน อดทนอดกลั้น และขยันหมั่นเพียร)


        1. อ่อนน้อมเข้าไว้ เพราะก่อนหน้าก็ไม่ได้มีอะไรติดตัวมาเหนือกว่าคนอื่น พอได้ฝึกฝน ได้โอกาสมากเข้า ก็อย่าคิดว่าเหนือกว่าคนอื่น ยิ่งต้องอ่อนน้อมเข้าไว้ เพราะทุกคนไม่มีใครชอบคนเบ่ง คนสอพลอ คนเห็นแก่ตัว...

        2. อดทนต่อการเอาเปรียบจากผู้อื่น แต่ไม่ใช่อดทนแบบควายๆ ต้องคิดถึงผลประโยชน์ส่วนรวมด้วย ใช้สิ่งที่ได้ฝึกฝนมาให้เต็มที่ ญาติมิตรก็มี แต่ถ้าไม่จำเป็นจริงๆอย่าไปพึ่งเขาพร่ำเพรื่อ มันจะเฝ้อ ถึงเวลาสำคัญเขาก็ไม่อยากจะช่วย เพราะมันเฝ้อไปเสียแล้ว

        3. อาศัยความรู้ความสามารถเป็นหลัก อย่าพึ่งสิ่งอื่นมากนัก เพราะเอาแน่เอานอนไม่ได้เท่ากับตัวเราเอง ประจบ สอพลอ เข้าไป ถึงเวลา คนเขาดูออก ที่ทำไปก็ใช้ได้แต่กับคนโง่เท่านั้น คนฉลาด ผู้นำ เขารู้ แต่เขาแค่หลอกใช้ไปเรื่อยๆ อย่าได้หลงตน

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2558

กรรม

วันนี้แอดมินนั่งอ่านหนังสือเรียนพระพุทธศาสนาของนักเรียนที่โรงเรียน เลยมาบันทึกแลกเปลี่ยนแก่ท่านทั้งหลายเผื่อจักเป็นประโยชน์บ้าง ไม่มากก็น้อย


ที่มารูป http://xn--72c8ae4acia4czfxe.com/wp-content/uploads/2012/07/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1-720x720.gif


    กรรม หมายถึง การกระทำของมนุษย์ที่ประกอบด้วยเจตนาหรือความจงใจ แสดงออกได้ 3 ทาง คือ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ กรรมเป็นกฏธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ที่มีผลบังคับในตนเองและแสดงให้เห็นถึงต้นเหตุของการกระทำ วิธีการกระทำ และผลของการกระทำนั้น (จรัส พยัคฆราชศักดิ์ และคณะ, 2558) ทั้งนี้กรรมทั้งหลาย หากถูกควบคุมด้วยศีล ย่อมส่งให้เกิดความเป็นปกติของมนุษย์ หรือเกิดกรรมดี (กุศลกรรม) ขึ้น หากกรรมนั้นมิได้ถูกควบคุมด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทาน ต่างๆแล้ว ก็อาจจะเกิดความผันแปรไปในการกระทำ ซึ่งหากเป็นกรรมดีก็ดีไป หากเป็นกรรมชั่ว (อกุศลกรรม) แล้ว ย่อมเป็นที่เดือดเนื้อร้อนใจแก่สรรพสัตว์ทั้งหลายแน่นอน


ที่มา จรัส  พยัคฆราชศักดิ์ และคณะ. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน พระพุทธศาสนา ๑ ม.๔-๖.

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2558

อโหสิกรรม


         หายไปหลายวัน พอดีแอดมินติดธุระไปทำภารกิจเขียนหนังสือกับ สพฐ วันนี้เลยมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ อโหสิกรรมมาฝากครับ


(รูปนี้สวยดี แอดมินถ่ายเอง เอามาให้ชมกันเล่นๆครับ)

         อโหสิกรรม นั้นมาจากคำ ๒ คำ คือ อโหสิ เป็นคำภาษาบาลีแปลว่า “ได้มีแล้ว” หมายความว่า ได้ให้ผลเสร็จสิ้นแล้ว และคำว่า กรฺรม ซึ่งเป็นคำภาษาสันสกฤต แปลว่า การกระทำหมายถึง การกระทำที่มีเจตนา

         อโหสิกรรม แปลรวมกันว่า กรรมที่ไม่ส่งผลแก่ผู้กระทำกรรมอีกต่อไป

         ในชีวิตประจำวันของเรานั้นสามารถพบเรื่องราวต่างๆจากบุคคลต่างๆ ที่ทำให้เราเกิดความไม่พอใจ ไม่ชอบใจ หรือ พอใจ ชอบใจ จนกระทำการต่างๆ หรือถูกกระทำการต่างๆ ให้เกิดกรรมซึ่งกันและกัน เมื่อได้กระทำหรือถูกกระทำแล้วจิตใจยึดติด ก็ย่อมเกิดการผูกเวร การให้อภัยหรือการขออภัย เป็นสิ่งที่เราควรกระทำ แม้ในช่วงเวลาแรกนั้นจะยังทำไม่ได้ เมื่อเวลาผ่านไปก็ควรกระทำ เพื่อให้จิตผ่องใส ยกระดับความเป็นมนุษย์ให้สูงขึ้น ชีวิตจะพบกับความสงบ ไม่รุ่มร้อน

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558

กุศโลบายการสวดมนต์

วันนี้แอดมินได้เข้าไปอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับการสวดมนต์มา จึงนำมาเล่าสู่กันฟัง ดังนี้

          การสวดมนต์ คือ การสวดบทพระพุทธมนต์ต่างๆ ที่เป็นส่วนพระสูตรจากพระไตรปิฎก หรือที่เป็นส่วนพระปริตรหรือเฉพาะคาถาอันนิยมกำหนดให้นำมาสวดประกอบในการสวดมนต์เป็นประจำ

          ความมุ่งหมายของการสวดมนต์ ก็เพื่อเป็นกุศโลบายเพื่อสงบจิต ไม่ให้คิดวุ่นวายตามอารมณ์ได้ชั่วขณะที่ทำ เมื่อทำประจำ เมื่อจิตใจที่สงบแล้ว แม้เพียงเวลาเล็กน้อยก็มีผล ทำให้เยิอกเย็นสุขุมไปหลายชั่วโมง ดังคำกล่าวที่ว่า “จิตสงบจะพบความสุขที่เยือกเย็น”เหมือนถ่านไฟที่ลุกโซน เมื่อจุ่มน้ำดับสนิท กว่าจะติดไฟคุใหม่ได้ต้องใช้เวลานาน

          ฉะนั้น กุศโลบายนี้จึงเป็นที่นิยมสำหรับสมณะและชาวพุทธทั่วไป และเป็นโอกาสให้ได้แผ่ส่วนบุญของตนแก่ผู้อื่นด้วยจิตใจที่สงบบริสุทธิ์อีกด้วย


อ่านเรื่องราวที่แอดมินอ่าน ท่านจะได้มุมมองที่แตกต่างหรือมากกว่ามุมมองของแอดมินแน่นอนครับ
http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9560000039448

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2558

กิจกรรมโรงเรียนศีล ๕/วิถีพุทธ

วันนี้ (14 สิงหาคม 2558) โรงเรียนอนุราชประสิทธิ์ ได้จัดกิจกรรมทำบุญตักบาตร สวดมนต์ และนั่งสมาธิ 




วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2558

16 สถานที่ปฏิบัติธรรมในกรุงเทพมหานคร


วันนี้แอดมินไปอ่าน http://travel.kapook.com/view112384.html มา เห็นว่าดี เลยนำมาบันทึกไว้ครับ ถ้าสนใจรายละเอียดลองเข้าไปอ่านที่เว็บกระปุกได้เลยครับ ในบทความนี้มีแค่เว็บกับสถานที่ติดต่อ


1. เสถียรธรรมสถาน
          ที่อยู่ : 23 ซอยวัชรพล ถนนรามอินทรา 55 แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร 10230
          โทรศัพท์ :  0 2519 1119, 0 2510 6697, 09 1831 2294
          เว็บไซต์ : www.sdsweb.org และ เฟซบุ๊ก เสถียรธรรมสถาน Sathira Dhammasathan

2. วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร
          ที่อยู่ : ถนนพระราม 1 แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
          โทรศัพท์ : 02 251 6469
          เว็บไซต์ : www.watpathumwanaram.com

3. วัดธรรมมงคล เถาบุญญนนนท์วิหาร
          ที่อยู่ : 132 ถนนสุขุมวิท ซอย 101 ตรอกปุณณวิถี 20 แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร 10260
          โทรศัพท์ : 0 2332 4145
          เว็บไซต์ : www.dhammamongkol.com

4. วัดสังฆทาน
          ที่อยู่ : 100/1 หมู่ที่ 3 บ้านบางไผ่น้อย ตำบลบางไผ่ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี 11000
          โทรศัพท์ : 0 2447 0799, 0 2447 0800
          เว็บไซต์ :  เฟซบุ๊ก ประชาสัมพันธ์ วัดสังฆทาน

5. ศูนย์ปฏิบัติธรรมบ้านธรรมนำใจ
          ที่อยู่ : เลขที่ 474 ถนนไมตรีจิตต์ เขตป้อมปราบฯ กรุงเทพมหานคร 10100 (ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินหัวลำโพงเพียง 130 เมตร)
          โทรศัพท์ : 02 222 0598
          เว็บไซต์ : www.baandhamnamjai.com และ เฟซบุ๊ก บ้านธรรมนำใจ

6. วัดพระราม 9
          ที่อยู่ : 999 ซอย 19 ถนนพระราม 9 แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10310
          โทรศัพท์ : 0 2318 5926-7, 0 2719 7676
          เว็บไซต์ : www.rama9temple.org และ เฟซบุ๊ก Rama IX Golden Jubilee Temple

7. มูลนิธิพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
          ที่อยู่ : 549/94 ซอยยิ่งอำนวย (จรัญสนิทวงศ์ 37) ถนนจรัญสนิทวงศ์ แขวงบางขุนศรี เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร 10700
          โทรศัพท์ : 0 2412 2752
          เว็บไซต์ : www.luangpumun.org และ เฟซบุ๊ก มูลนิธิอาจารย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

8. วัดชลประทานรังสฤษฏ์
          ที่อยู่ : 78/8 หมู่ที่ 1 กิโลเมตรที่ 14 ถนนติวานนท์ ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 11120
          โทรศัพท์ : 0 2538 8845, 0 2584 3074
          เว็บไซต์ : เฟซบุ๊ก วัดชลประทานรังสฤษดิ์ นนทบุรี

9. วัดพิชยญาติการาม วรวิหาร (วัดพิชัยญาติ)
          ที่อยู่ : เลขที่ 32 ถนนสมเด็จเจ้าพระยา ซอย 2 แขวงสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร 10600
          โทรศัพท์ : 0 2861 5425, 0 2861 4530
          เว็บไซต์ : www.watphichaiyat.com และ เฟซบุ๊ก วัดพิชยญาติการาม วรวิหาร

10. วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์
          ที่อยู่ : 3 ท่าพระจันทร์ แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200
          โทรศัพท์ : 0 2222 6011, 0 2222 4981
          เว็บไซต์ : www.watmahathat.com และ เฟซบุ๊ก วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์

11. ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
          ที่อยู่ : 4 ซอยเพชรเกษม 54 แยก 6 แขวงบางด้วน เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร 10160
          โทรศัพท์ : 0 2455 2525
          เว็บไซต์ : www.ybat.org และ เฟซบุ๊ก ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (ย.พ.ส.)

12. วัดอินทรวิหาร
          ที่อยู่ : ถนนวิสุทธิกษัตริย์ ใกล้สี่แยกบางขุนพรหม แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200
          โทรศัพท์ : 0 2281 7810, 0 2282 0461
          เว็บไซต์ : www.dhammathai.org

13. สำนักปฏิบัติธรรมประจำกรุงเทพมหานครแห่งที่ 1 วัดยานนาวา
          ที่อยู่ : อาคารมหาเจษฎาบดินทร์ ชั้น 2 สำนักปฏิบัติธรรมประจำกรุงเทพมหานครแห่งที่ 1 วัดยานนาวา ถนนเจริญกรุง แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120
          โทรศัพท์ : 0 2212 6567
          เว็บไซต์ : www.bhavanatoday.org และ เฟซบุ๊ก สำนักปฏิบัติธรรมวัดยานนาวา

14. มูลนิธิส่งเสริมวิปัสสนากรรมฐานในพระสังฆราชูปถัมภ์
          ที่อยู่ : 42/660 หมู่บ้านเค.ซี.การ์เด้นโฮม 111 ถนนนิมิตใหม่ แขวงสามวาตะวันออก เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร 10510
          โทรศัพท์ : 0 2993 2711
          เว็บไซต์ : www.thai.dhamma.org

15. สถานปฏิบัติธรรมบ้านพาณิชย์กุล
          ที่อยู่ : 44/128 หมู่ 6 ซอยกำนันแม้น 36 (ซอยบุญมงคล) แขวงบางขุนเทียน เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร (เข้าซอยตรงไปเกือบสุดซอยอยู่ฝั่งขวามือ)
          โทรศัพท์ : 08 6574 7963
          เว็บไซต์ : www.banphanichkul.com

16. วัดเพลงวิปัสสนา
          ที่อยู่ : 481 วัดเพลงวิปัสสนา ซอยจรัญสนิทวงศ์ 37 แขวงบางขุนศรี เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร 10700
          โทรศัพท์ : 08 3764 9595
          เว็บไซต์ : www.watplengvipassana.org

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2558

การทำงานเป็นทีม




        ในการสอนคนให้เป็นคนดี คนเป็นครูจะต้องสอนให้รู้จักบทบาทหน้าที่ของตนเอง และการปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรียกว่า ทำงานเป็นทีม เป็น แอดมิน ได้อ่านเจอบทความสั้นๆ เกี่ยวกับการทำงานเป็นทีม จากเว็บ http://www.local.moi.go.th/team.html ซึ่งน่าสนใจอยากให้สมาชิกได้อ่านกัน และเขียนค่อนข้างดี จึงขออนุญาตคัดลอกข้อความให้มาได้อ่านกันเพื่อประโยชน์ และเผื่อว่าข้อมูลในเว็บต้นทางสูญหาย ข้อมูลนี้ก็ยังอยู่ที่นี่ ^_^

       การทำงานเป็นทีม หมายถึง การร่วมกันทำงานของสมาชิกที่มากกว่า 1 คน โดยที่สมาชิกทุกคนนั้นจะต้องมีเป้าหมายเดียวกันจะทำอะไรแล้วทุกคนต้องยอมรับร่วมกัน มีการวางแผนการทำงานร่วมกัน
.
      การทำงานเป็นทีมมีความสำคัญในทุกองค์กรการทำงานเป็นทีมเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการบริหารงานการทำงานเป็น
ทีมมีบทบาทสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จของงานที่ต้องอาศัยความร่วมมือของกลุ่มสมาชิกเป็นอย่างดี
.
ลักษณะของทีม ลักษณะที่สำคัญของทีม 4 ประการ ได้แก่
.
        1. การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของบุคคล หมายถึง การที่สมาชิกตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปมีความเกี่ยวข้องกันในกิจการของกลุ่ม / ทีม ตระหนักในความสำคัญของกันและกัน แสดงออกซึ่งการยอมรับ การให้เกียรติกัน สำหรับกลุ่มขนาดใหญ่มักมีปฏิสัมพันธ์กันเป็นเครือข่ายมากกว่าการติดต่อกันตัวต่อตัว
        2. มีจุดมุ่งหมายและเป้าหมายร่วมกัน หมายถึง การที่สมาชิกกลุ่มจะมีส่วนกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมร่วมกันของทีม / กลุ่ม โดยเฉพาะจุดประสงค์ของสมาชิกกลุ่มที่สอดคล้องกับองค์การ มักจะนำมาซึ่งความสำเร็จของการทำงานได้ง่าย
        3. การมีโครงสร้างของทีม / กลุ่ม หมายถึง ระบบพฤติกรรม ซึ่งเป็นแบบแผนเฉพาะกลุ่มสมาชิกกลุ่มจะต้องปฏิบัติตามกฏหรือมติของกลุ่ม ซึ่งอาจจะเป็นกลุ่มแบบทางการ (Formal Group) หรือกลุ่มแบบไม่เป็นทางการ (Informal Group) ก็ได้ สมาชิกทุกคนของกลุ่มจะต้องยอมรับและปฏิบัติตามเป็นอย่างดี สมาชิกกลุ่มย่อย อาจจะมีกฎเกณฑ์แบบไม่เป็นทางการ มีความสนิทสนมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างสมาชิกด้วยกัน
        4. สมาชิกมีบทบาทและมีความรู้สึกร่วมกัน การรักษาบทบาทที่มั่นคงในแต่ละทีม / กลุ่ม จะมีความแตกต่างกันตามลักษณะของกลุ่ม รวมทั้งความรู้ความสามารถของสมาชิก โดยจีการจัดแบ่งบทบาทและหน้าที่ ความรับผิดชอบ กระจายงานกันตามความรู้ ความสามารถ และความถนัดของสมาชิก
.
         การทำงานเป็นทีมเป็นแรงจูงใจสำคัญที่จะผลักดันให้ท่านเป็นผู้นำที่ดี ถ้าท่านประสงค์ที่จะนำทีมให้ประสบความสำเร็จในการทำงาน ท่านจำเป็นต้องค้นหาคุณลักษณะของการทำงานเป็นทีมให้พบระลึกไว้เสมอว่าทุกคนมีอิสระในตัวเอง ขณะเดียวกันก็เป็นส่วนหนึ่งของทีม แล้วจึงนำเอากลยุทธ์ในการสร้างทีมเข้ามาใช้เพื่อให้ทุกคนทำงานร่วมกันและประสบความสำเร็จ

วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

วันอาสาฬหบูชา


ที่มาภาพ http://www.tlcthai.com/education/wp-content/uploads/2014/07/Buddha-Asalha_Puja3.jpg

          วันอาสาฬหบูชา หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ วันอาสาฬหบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประกาศพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก โดยการแสดงปฐมเทศนาโปรดพระปัญจวัคคีย์ ทั้ง ๕ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันจนพระอัญญาโกณฑัญญะได้บรรลุธรรมและขอบวชเป็นพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา จึงถือว่าวันนี้เป็นวันแรกที่มีพระสงฆ์เกิดขึ้นครบองค์พระรัตนตรัย

          วันอาสาฬหบูชา เป็นวันที่สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แสดง พระปฐมเทศนา หรือการแสดงพระธรรมครั้งแรก หลังจากที่ตรัสรู้ได้ ๒ เดือน เป็นวันที่เริ่มประดิษฐานพระพุทธศาสนาเนื่องจากมีองค์ประกอบของ พระรัตนตรัยครบถ้วน คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี ในวันเพ็ญ (ขึ้น ๑๕ ค่ำ) เดือน ๘ ดวงจันทร์ เสวยมาฆฤกษ์

          การแสดงพระปฐมเทศนาในวันอาสาฬหบูชา นี้ทรงได้แสดงแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ปัจจุบันคือสารนาถ เมืองพาราณสี พระธรรมที่แสดงคือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เมื่อเทศนาจบ พระโกณฑัญญะ หนึ่งในปัญจวัคคีย์ ผู้ประกอบด้วย พระโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานาม และพระอัสสชิ ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม มีความเห็นแจ้งชัดว่า

                                 ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ                       สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมนฺติ
                    สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา       สิ่งใดสิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา

          เมื่อได้ดวงตาเห็นธรรมจึงขออุปสมบทเป็น พระภิกษุในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก็ประทานอุปสมบทให้ ด้วยวิธีที่เรียกว่า เอหิภิกขุอุปสัมปทา โดยกล่าวคำว่า เธอจงเป็นภิกษุมาเกิด พระโกณฑัญญะจึงเป็น พระอริยสงฆ์องค์แรก


http://www.dpu.ac.th/laic/upload/content/image/Exhibition/Asarnha/08.jpg


          คำว่า “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” แปลว่าสูตรของการหมุนวงล้อแห่งพระธรรมให้เป็นไปมีความโดยย่อว่า ที่สุด ๒ อย่างที่บรรพชิตไม่ควรประพฤติปฏิบัติคือ การประกอบตนให้อยู่ในความสุขด้วยกาม ซึ่งเป็นธรรมอันเลวเป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ที่สุดอีกทางหนึ่งคือ การประกอบการทรมานตนให้เกิดความลำบาก ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์

          การดำเนินตามทางสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ที่สุดทั้งสองอย่างนั้น เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ ด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาและญาณให้เกิด เป็นไปเพื่อความสงบระงับ ความรู้ยิ่ง ความตรัสรู้ และนิพพาน ทางสายกลาง ได้แก่ อริยมรรค มีองค์แปด คือ ปัญญาอันเห็นชอบ ดำริห์ชอบ เจรจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ พยายามชอบ ระลึกชอบ และตั้งใจชอบ อริยสัจสี่ คือความจริงอันประเสริฐที่พระองค์ค้นพบ มี ๔ ประการ

          ขอให้ทุกท่านประสบแต่ทางเข้าสู่ที่สุดแห่งทุกข์ทั้งปวงในเร็ววัน

อ่านเพิ่มเติมที่ http://scoop.mthai.com/specialdays/1205.html

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

สมาธิกับการเรียนอย่างมีความสุข

      แอดมินอ่านเจอ เห็นเป็นประโยชน์ จึงนำมาบอกต่อครับ ^_^ สั้นๆเลยก็คือ งานวิจัยนี้ต้องการเปรียบเทียบว่านักศึกษาเรียนอย่างมีความสุขหรือไม่ โดยให้ฝึกสามาธิแบบอาณาปานสติก่อนเรียน เมื่อใช้แบบวัดการเรียนอย่างมีความสุขแล้วพบว่านักศึกษาที่ฝึกสมาธิก่อนเรียนมีการเรียนรู้อย่างมีความสุขมากกว่านั่นเองครับ



อ้างอิง วรวุฒิ อินทนนท์. (2554). การเปรียบเทียบการเรียนรู้อย่างมีความสุขของนักศึกษาที่ได้รับการฝึกสมาธิแบบอานาปานสติและนักศึกษาที่เรียนตามปกติของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม. วารสารมหาวิทยาลัยนครพนม ปีที่ 1 ฉบับที่ 1, หน้า 14-22.

วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

อานิสงค์ของการรักษาศีล ๕

ที่มาภาพ http://www.dmc.tv/images/scoop/Precept/Precept-5-01.jpg

ศีล เป็นเครื่องรักษาความเป็นปกติของมนุษย์ทางกายและวาจา ซึ่งจะนำไปสู่ ความปกติทางใจ โดยได้มีการกล่าวไว้ดังนี้

       ๑. ผู้ที่รักษาศีลข้อ ๑ ด้วยการไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

              ด้วยเศษของบุญที่รักษาข้อนี้ เมื่อน้อมนำมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะมีพลานามัยแข็งแรง ปราศจากโรคภัย ไม่ขี้โรค อายุยืนยาว ไม่มีศัตรูเบียดเบียนให้ต้องบาดเจ็บ ไม่มีอุบัติเหตุต่างๆ ที่จะทำให้บาดเจ็บ หรือสิ้นอายุเสียก่อนวัยอันควร
       
       ๒. ผู้ที่รักษาศีลข้อ ๒ ด้วยการไม่ถือเอาทรัพย์ของผู้อื่นที่เจ้าของมิได้เต็มใจให้
              ด้วยเศษของบุญที่นำมาเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมทำให้ได้เกิดในตระกูลที่ร่ำรวย การทำมาหาเลี้ยงชีพในภายหน้ามักจะประสบกับช่องทางที่ดี ทำมาค้าขึ้นและมั่งมีทรัพย์ ทรัพย์สมบัติไม่วิบัติหายนะไปด้วยภัยต่างๆ เช่น อัคคีภัย วาตภัย โจรภัย ฯลฯ
       
       ๓. ผู้ที่รักษาศีลข้อ ๓ ด้วยการไม่ล่วงประเวณีในคู่ครอง หรือคนในปกครองของผู้อื่น
              ด้วยเศษของบุญที่รักษาศีลในข้อนี้ เมื่อนำมาเกิดมาเป็นมนุษย์ ก็จะประสบโชคดีในความรัก มักได้พบกับรักแท้ที่จริงจังและจริงใจ ไม่ต้องอกหัก อกโรย และอกเดาะ ครั้นเมื่อมีบุตรธิดาก็ว่านอนสอนง่าย ไม่ดื้อด้าน ไม่ถูกผู้อื่นฉุดคร่าอนาจารไปทำให้เสียหาย บุตรธิดาย่อมเป็นอภิชาตบุตร ซึ่งจะนำเกียรติยศชื่อเสียงมาสู่วงศ์ตระกูล
       
       ๔ . ผู้ที่รักษาศีลข้อ ๔ ด้วยการไม่กล่าวมุสา
              ด้วยเศษของบุญที่รักษาศีลข้อนี้ เมื่อนำมาเกิดเป็นมนุษย์ จะทำให้เป็นผู้ที่มีเสียงไพเราะ พูดจามีน้ำมีนวลชวนฟัง มีเหตุมีผลชนิดที่เป็นพุทธวาจา มีโวหารปฏิภาณไหวพริบในการเจรจา จะเจรจาความสิ่งใดก็มีผู้ฟังและเชื่อถือ สามารถว่ากล่าวสั่งสอนบุตรธิดาและศิษย์ให้อยู่ในโอวาทได้ดี
       
       ๕ . ผู้ที่รักษาศีลข้อ ๕ ด้วยการไม่ดื่มสุราเมรัย เครื่องหมักดองของมึนเมา
              ด้วยเศษของบุญที่รักษาศีลข้อนี้ เมื่อนำมาเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมทำให้เป็นผู้ที่มีสมอง ประสาท ปัญญา ความคิดแจ่มใส จะศึกษาเล่าเรียนสิ่งใดก็แตกฉานและทรงจำได้ง่าย ไม่หลงลืมฟั่นเฟือนเลอะเลือน ไม่เสียสติวิกลจริต ไม่เป็นโรคสมอง โรคประสาท ไม่ปัญญาทราม ปัญญาอ่อนหรือปัญญานิ่ม
      
       หากพิจารณาให้ดีการรักษาศีลจัดเป็นการรักษากฏหมายอีกทางหนึ่ง และยังส่งเสริมหน้าที่พลเมืองที่ครูทุกคนควรปลูกฝังให้เกิดกับนักเรียนในความดูแล

อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับอานิสงค์การรักษาศีลได้ที่ http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9570000099999

วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

วิธีการเดินสมาธิหรือเดินจงกรม



ถ้าทำก่อนหรือนั่งสมาธิจะดีมากๆเลยครับ แอดมินลองแล้ว ^_^

>>> เลือกสถานที่ยาวประมาณ 5 เมตร ถึง 10 เมตร แล้วแต่ความกว้างของสถานที่ และความรู้สึกพอดี บางทียาวนักก็ไม่ดี เหนื่อย บางครั้งสั้นไปก็ทำให้เวียนหัว 

>>> หันหน้าไปทางเดินจงกรม แต่อย่ามองไกลเกินไป มองทอดสายตาดู ไปข้างหน้าประมาณ 4 ก้าวเพื่อไม่ให้จิตใจวอกแวก แต่ไม่ใกล้เกินไป จนรู้สึกปวดต้นคอ มือซ้ายมาวางที่หน้าท้องและมือขวามาวางทับ เพื่อป้องกันแขนแกว่งขณะเดิน และดูสวยงาม 

>>> เมื่อได้ท่าที่พอดีแล้วก็เดินก้าวขาขวาไป ก็นึกคำว่า "พุท" และเมื่อก้าวขาซ้ายไปก็นึก คำว่า "โธ" 

>>>เวลาเดินไม่หลับตาแต่ให้ลืมตา และกำหนดสัมผัสของเท้าที่ก้าวเหยียบลงพื้น เดินว่าพุทโธไปเรื่อย พอถึงปลายทาง เดินก็หยุดนิดหนึ่ง แล้วก็หันกลับด้านขวามือ มาทางเดิม และเดินว่าพุทโธต่อไป 

>>> อย่าเร็วเกินไป หรือช้าเกินไป กำหนดจิตของเราอยู่ที่ก้าวเดินและคำภาวนา ไม่ให้จิตวอกแวก 

>>> สิ่งสำคัญคือ การกำหนดจิตให้ทันการเคลื่อนไหว ส่วนการเดินเป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น 

>>> เราควรทำอย่างน้อย 30 นาที และจะดีมากขึ้นถ้าตามด้วยการนั่งสมาธิ เพราะการเดินจงกรม เป็นการเปลี่ยนอิริยาบท ปล่อยอารมณ์ และเตรียมร่างกายให้พร้อมสู่การนั่งสมาธิ 


คลิกที่รูปเพื่อไปยังเนื้อหาต้นฉบับครับ

วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2558

9 วิธี ทําดี ทำง่ายๆ เริ่มจากตัวเรา



(ภาพจาก https://nanapolecon.files.wordpress.com/2011/08/ktmhtn_3002.jpg)


1.ตื่นเช้าขึ้นมาก็คิดแต่สิ่งดีๆ 
          ทันทีที่ตื่นนอน หากเราคิดถึงแต่สิ่งที่ดีที่งาม ก็จะทําให้จิตใจเราสดชื่น กระตือรือร้น พร้อมที่จะรับมือกับชีวิตประจําวันด้วยความรื่นเริง ไม่หงุดหงิดโมโห แค่นี้ นอกจากเราจะมีความสุขแล้ว คนรอบข้างเราก็มีความสุขไปด้วยถือว่าเป็นการทําบุญอย่างหนึ่ง

 2.ยิ้มแย้มแจ่มใส
          ในแต่ละวัน หากเราจะรู้จักยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ว่าจะยิ้มกับคนรู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม หน้าตาของเราก็จะดูเป็นมิตร ทําให้คนอยากเข้าใกล้ ถ้าเราเป็นพ่อแม่ยิ้มกับลูกก่อนไปทํางาน ลูกก็ดีใจ ลูกยิ้มกับพ่อพ่อแม่ พ่อแม่ก็สบายใจว่าต่างคนต่างไม่มีเรื่อง เดือดร้อนใจแน่ หรือหากมีก็กล้าจะมาปรึกษาหารือ หรือหากเป็นเจ้านาย ยิ้มกับลูกน้องๆ ก็รู้ว่าวันนี้นายอารมณ์ดี ทําให้ทํางานด้วยความมั่นใจไม่ต้องระแวงว่าจะถูก เรียกไปต่อว่าและถ้าเรียกก็ดูน่าจะมีเมตตา กว่าเวลาที่นายทําหน้ายักษ์

3.ทักทาย โอปราศรัย
          คนบางคน นอกจากจะไม่ยิ้มกับใครแล้ว ยังชอบทําหน้าบึ้งตึงไม่คิดจะพูดจาทักทายใครด้วย ซึ่งถ้าเกิดทํางานด้านบริการ คนมาติดต่อคงรู้สึกเกร็งและกังวลตลอดว่าจะถูกเอ็ดตะโรเมื่อไรก็ไม่รู้ ดังนั้น นอกจากยิ้มแย้มแจ่มใสแล้ว เราก็ควรจะเอื้อนเอ่ยวาจาทักทายผู้มารับบริการก่อน การทักทายปราศรัยกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นผู้มาขอรับบริการเพื่อนฝูงคนรู้จัก ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาหรือแม่แต่คนที่มาทํางานให้เรา เช่น แม่บ้าน ยาม ฯลฯ จะทําให้เขารู้สึกเป็นมิตร และอบอุ่นใจ ทําให้บรรยากาศในที่นั้นๆ ดีขึ้น

4.แบ่งปันน้ำใจไมตรี
          สามารถทําได้ทุกที่และทุกเวลา เช่น ช่วยพ่อแม่จัดโต๊ะอาหารล้างถ้วยชาม ลุกให้เด็ก ผู้หญิงท้อง หรือคนแก่นั่งช่วยถือของหนักให้คนในรถเมล์ หยุดรถให้คนข้ามถนน หรือรถอื่นไปก่อน ช่วยแบ่งเบาภาระงาน ให้เพื่อนในที่ทํางาน เป็นต้น การให้ความช่วยเหลือเช่นนี้ เป็นการทําบุญด้วยการลดความเห็นแก่ตัวของเราลงและทําให้เราได้รับมิตรไมตรีสนองตอบกลับมาด้วย

5.ปลุกปลอบให้กําลังใจ
          ช่วยแก้ไขปัญหา หลายๆครั้งที่เพื่อนฝูงญาติมิตรอาจประสบปัญหาชีวิต และเกิดความทุกข์ใจแสนสาหัส สิ่งที่ดีที่สุดคือความเป็นมิตรและถ้อยคําที่ปลุกปลอบให้กําลังใจ คําพูดดีๆ ที่มาจากใจจะทําให้ผู้ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์ รู้สึกดีขึ้นและมีพลังที่ต่อสู้ชีวิตต่อไปได้

6.ให้คําชมด้วยความนิยมยินดี
          การกล่าวคําชื่นชมต่อผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ ย่อมจะทําให้ผู้รับคําชมรู้สึกปลาบปลื้มยินดี และมีความสุขได้ โดยเฉพาะในเรื่องที่เขาทําสําเร็จ แต่ทั้งนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงและจริงใจด้วยดูอย่างตัวเราเองแค่วันไหน แต่งตัวสวย แล้วมีคนชม เราก็หน้าบานไปทั้งวันแล้ว เช่นเดียวกันคนทุกคนล้วนอยากได้การยอมรับและคําชมทั้งนั้น เพราะคําชมจะเป็นการเสริมเพิ่มกําลังใจให้ อยากทําดียิ่งๆ ขึ้นไป

7.แนะนําให้คําสอนที่ดี มีคุณค่า
          ไม่ว่าจะเราจะอยู่ในสถานภาพใด เช่น เป็นลูก เป็นพ่อแม่ลูกน้อง เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมอาชีพ ฯลฯ หากเราจะมีเมตตา แนะนําในสิ่งที่ดี มีประโยชน์และคุณค่าต่อผู้อื่นหรือสอนในสิ่งที่เราชํานาญให้แก่ผู้อื่น ก็จะเป็นการช่วยเกื้อกูลสังคมให้ดียิ่งขึ้น และผลก็จะย้อนมาสู่ตัวเราผู้ทําด้วย เช่น สอนงานให้ลูกน้องต่อไป เมื่อเขาทํางานเป็น เราก็ไม่ต้องเหนื่อยมาก และเขาก็จะรู้สึกขอบคุณเรา แนะวิธีออกกําลังกายให้พ่อแม่ ท่านก็แข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยง่าย เราก็สบายใจ หรือแม้แต่การแนะนําให้ความรู้ที่เรามี หรือทราบมาแก่คนไม่รู้จัก อย่างแนะนําหมอ ยาดีๆ   หรือธรรมะที่ดีแก่คนอื่น ทําให้เขาหายป่วยหรือรู้สึกดีขึ้น เขาก็จะอธิษฐานหรือให้พรเราทําให้เราพบแต่สิ่งดีๆ ในชีวิต

8.การให้อภัยในความผิดพลาดของผู้อื่น
          โดยทั่วไปคนเรามักจะให้อภัยตัวเองง่ายและมีข้อแก้ตัวให้ตนต่างๆ นานา แต่ถ้าผู้อื่นผิดพลาดแล้ว เรามักเห็นเป็นเรื่องใหญ่และตําหนิติเตียนไม่รู้จักแล้วจบ ดังนั้น เราจะต้องหัดมีเมตตารู้จักให้อภัยต่อผู้อื่นให้ง่าย เหมือนให้อภัยแก่ตัวเราเอง เพราะการให้อภัยจะทําให้เราไม่ผูกใจเจ็บ ไม่อาฆาตมาดร้าย ไม่ก่อศัตรู แต่ทําให้จิตใจเราสงบเย็นเป็นการฝึกจิตพื้นฐานอย่างหนึ่ง ที่จะนําไปสู่กุศลขั้นสูงอื่นๆ ต่อไป

9.ฝึกจิตให้สงบและสบาย
          ด้วยการทําสมาธิหรือสวดมนต์ การทําสมาธิ ฟังดูเหมือนยากแต่จริงๆ เราทําได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน หรือทําอะไรอยู่ เช่น กินข้าว  อาบน้ํา ทําการบ้าน ทํางานบ้าน อ่านหนังสือ อยู่ที่ทํางานหัวใจหลักคือให้เอาใจไปจดจ่อในสิ่งที่ทําเพียงอย่างเดียว จะทําให้เราทําทุกอย่างได้ดีขึ้นเพราะไม่พะวักพะวนคิดหรือทําหลายอย่างในเวลาเดียวกันอันทําให้ขาดสติและทุกๆ คืนก่อนนอน ก็ควรสวดมนต์ไหว้พระที่เรานับถือ โดยอาจเลือกบทสวดสั้นๆ ที่เราชอบ เสร็จแล้วก็อย่าลืมแผ่เมตตาให้กับตัวเราเอง และผู้อื่นตามสมควรที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าเป็นการทําความดีที่ไม่ต้องใช้เงินเลยแต่สามารถปฏิบัติในชีวิตประจําวันของเราได้ โดยไม่ยากเย็นเข็ญใจจนเกินไปอีกทั้งปฏิบัติแล้วก็เป็นบุญกุศลที่จะเกื้อหนุนให้เราและคนรอบตัวมีความสุข เพราะ’บุญ’ ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ เครื่องชําระกาย ใจให้บริสุทธิ์เป็นการทําประโยชน์ให้แก่ตัวเราเองและผู้อื่น และยังช่วยลดกิเลส ความเศร้าหมองต่างๆ ได้

ตัดข้อความจาก http://club.sanook.com/12994/9-วิธี-ทําดี-ทำง่ายๆ-เริ่ม/

วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2558

วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2558

การสร้างนิสัยแบบใหม่ด้วยแนวคิดเชิงบวก

เอกสารต้นฉบับ : https://www.facebook.com/notes/578145238884986/


        วงจรพฤติกรรมกล่าวไว้ว่า “ความคิดนำไปสู่การกระทำ” หากเราต้องการสร้างนิสัยแบบใดเราก็ต้องทำสิ่งนั้นซ้ำๆบ่อยๆ จนกลายเป็นธรรมชาติของเรา ดังนั้นการเปลี่ยนความคิดของเราเสียใหม่ ย่อมทำให้เราปฏิบัติตัวแบบใหม่ๆ เมื่อทำบ่อยๆ ก็จะกลายเป็นนิสัยใหม่ ของเรานั่นเอง เหตุการณ์ส่วนใหญ่ทำให้เราคิดลบ หากเราเปลี่ยนความคิดเชิงบวกต่อเหตุการณ์นั้นใหม่ เราก็จะมีอุปนิสัยที่ดีขึ้นแน่นอน

เปลี่ยนนิสัยใหม่ด้วยแนวคิดเชิงบวกกับเหตุการณ์ต่างๆ …
         - หลีกเลี่ยงการบ่น พูดในเรื่องที่สร้างสรรค์แทน
         - ลดเรื่องจินตนาการเชิงลบกับเหตุการณ์ต่างๆ
         - เลิกตัดสินผู้อื่น โดยใช้ความคิดของเราเพียงอย่างเดียว
         - เผชิญหน้ากับปัญหา เพื่อหาทางแก้ไข
         - เรียนรู้ที่จะปรับตัว เมื่อต้องอยู่ในที่อึดอัดใจ
         - เปลี่ยน “ข้อด้อย” ให้เป็นข้อเด่นของตัวเอง
         - มุ่งมั่น ไม่ท้อถอย แม้คิดว่าอาจทำไม่ได้ก็ตาม

        การปรับเปลี่ยนแนวความคิดให้เป็นเชิงบวก และปฏิบัติตัวโดยการฝึกฝนอยู่ เรื่องๆ อุปนิสัยใหม่จะเกิดขึ้นเอง

หลีกเลี่ยงการบ่น 
        หลายคนเข้าใจว่าการบ่นเป็นการระบาย เมื่อพูดจบแล้วก็จะรู้สึกดีขึ้น แต่จริงๆ แล้วเราดีขึ้นชั่วคราว แต่จะจำเรื่องนั้นๆ ไปเลยว่าเราไม่ชอบ หากมีเหตุการณ์คล้ายๆกัน เกิดขึ้นอีกเราก็จะรู้สึกไม่ดีขึ้นมาโดยอัตโนมัติ จึงเรียนกว่าเป็น นิสัย ดังนั้นหากต้องการพูดเรื่องอะไรก็ควรให้มี่ความสร้างสรรค์ คือพูดแต่เรื่องดีๆ เราก็จะจำได้แต่เรื่องดๆ นิสัยเราก็จะปฏิบัติตามที่เราคิดนั่นเอง

ลดเรื่องจินตนาการเชิงลบ
        การจินตนาการเป็นความคิดของเรา คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งยังไม่เกิดขึ้น หากเราคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เป็นเชิงลบ ย่อมทำให้เราเครียดและกังวลไปล่วงหน้า ทั้งๆที่จริงๆ แล้วเหตุการณ์เหล่านั้นอาจไม่เกิดขึ้น ก็ได้เพราะเป็นการคาดเดาของเราไปเอง แต่ถ้าเราจินตนาการเป็นเชิงบวกย่อมจูงใจให้เราลงมือปฏิบัติมากขึ้น เพราะเราคิดว่าถ้าทำแล้วจะเกิดผลดี และเป็นประโยชน์ ดังนั้นควรให้ความสำคัญ กับปัจจุบันให้มากที่สุด และถ้าคิดถึงอนาคต ก็ควรคิดว่าจะเกิดแต่สิ่งดีๆ

เลิกตัดสินผู้อื่น 
        เราชอบสรุปว่าคนนั้นเป็นอย่างนี้ ซึ่งเราไม่ชอบเลยจริงๆ แล้วที่เราไม่ชอบเป็นเพราะเราใช้มาตรฐานความคิดของเราเป็นหลักในการพิจารณาผู้อื่น ซึ่งอาจถูก หรืออาจผิดได้ ทำให้ความสัมพันธ์ของเรากับเขาไม่ค่อยดี ในทางที่ถูกแล้ว ควรพิจารณาทั้ง 2 ด้าน คือในแง่ที่เรคิดและในแง่ที่ถ้าเราเป็นเขาเราจะปฏิบัติหรือคิดอย่างไร ก็จะทำให้เราเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น การปฏิบัติตัวต่อคนอื่นก็จะดีขึ้น

เผชิญหน้ากับปัญหา 
        ปัญหามีไว้เพื่อให้แก้ไข มิใช่มีไว้ให้เกิดความเครียด ดังนั้นหากพบเจอกับปัญหา  และอุปสรรคต่างๆ ก็ให้พิจารณาทางแก้ไขจะดีกว่า เพราะถ้าเครียดและกังวลกับปัญหาแล้ว  เราย่อมหาทางออกได้ยากขึ้น แต่ถ้ายอมรับว่าเกิดปัญหาแล้ว จะแก้ไขอย่างไรดี เราก็จะจดจ่อกับ วิธีแก้ไขแทนที่จะจดจ่อที่ตัวปัญหา แนวโน้มก็จะมีวิธีแก้ไขได้แน่นอน

เรียนรู้ที่จะปรับตัว 
        ความอึดอัดใจเป็นความรู้สึกที่เราคิดว่า “เราไม่อยากอยู่กับสถานการณ์เช่นนี้” ซึ่งจริงๆ แล้ว ความคิดของเรานั้นเอง ที่คิดว่าเราไม่ชอบ ไม่มีประโยชน์ ไม่อยากเจอ อยากหนีไปให้ไกล ซึ่งถ้าเราจำเป็นต้องอยู่ในสถานการณ์นั้นอีกสักระยะหนึ่งเราก็ควรปรับตัวโดยการคิดว่า สถานการณ์ให้เราได้เรียนรู้เรื่องอะไรได้บ้าง มีประโยชนต่อเราอย่างไร เราเข้าใจผู้อื่นมากขึ้นแค่ไหนเมื่อเราสร้างความสนใจต่อเหตุการณ์เสียใหม่ ความอึดอัดใจก็จะลดไปเอง เพราะเริ่มมีเรื่องน่าสนใจสำหรับเราแล้ว

เปลี่ยน “จุดด้วย” ให้เป็นจุดเด่น 
        จุดด้อยหรือจุดเด่น อยู่ที่เราคิดว่าจะใช้ประโยชน์กับคุณสมบัตินั้นๆ ได้หรือไม่ ส่วนใหญ่แล้วจุดด้อยเป็ฯสิ่งที่ผู้อื่น พูดถึงเราว่าเป็นคุณสมบัติที่ไม่ดีและเราก็เห็นด้วย แต่ถ้าเราพยายามแก้ไขข้อด้อยนั้นๆ เพื่อหวังว่า ผู้อื่นจะได้รับการยอมรับเรานั้น เราจะไม่สามารถพัฒนาข้อด้อยนั้นได้นาน เพราะตัวเราเองไม่ถนัดและไม่ชอบ แต่ถ้าเราลองมองคุณสมบัติที่เราเป็นอยู่นั้น เกิดประโยชน์ในด้านใด เราก็นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์มากขึ้น คุณสมบัตินั้นก็จะถูกใช้ไปในทางที่เป็นประโยชน์ต่อเรา และเราก็ได้พัฒนาตัวเอง ทำให้เราสามารถเปลี่ยนข้อด้อยของเราเป็นข้อเด่นไปได้

มุ่งมั่น ไม่ท้อถอย 
        คนสำเร็จต่างกับคนทั่วๆไป ตรงที่ว่าเขาไม่เลิกก่อนเวลา ถึงแม้ว่าอาจดูว่าเป็นเรื่องยากก็ตาม คนส่วนใหญ่เกือบทำสำเร็จเพียงแค่อดทน หรือมุ่งมั่นไม่พอเท่านั้นเอง เป้าหมายต่างๆ นั้นไม่ยากเกินไปหากเรามุ่งมั่น และไม่ท้อถอย แม้ว่าความคิด ความรู้สึกจะบอกไปในทางว่าอาจเป็นไปไม่ได้ก็ตาม เนื่องจากความคิดเชิงลบย่อมเกิดขึ้นเมื่อเจออุปสรรค แต่ถ้าเราปฏิบัติต่อไป เราก็จะสำเร็จได้อย่างแน่นอน

        การปรับเปลี่ยนแนวความคิดของตัวเองเสียใหม่ โดยการปรับใช้กับสถานการณ์ต่างๆ เมื่อฝึกฝนมากขึ้น อุปนิสัยใหม่ๆ ที่เป็นข้อดีและเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเองก็จะเกิดขึ้น โดยที่เราไม่รู้ตัว แต่ผู้อื่นจะมองเห็นได้เอง และจะทำให้เรามีความสุขมากขึ้น บุคคลทั่วไปก็จะยอมรับเรามองขึ้น